วันจันทร์ที่ 29 สิงหาคม พ.ศ. 2559

จะสร้างครูดีได้อย่างไร(How to make a good teacher)
 
ความสําคัญของโรงเรียนอยู่ที่ครู โชคดีที่เราสามารถสร้างครูที่ดีและเก่งได้ ความลับที่ว่า ทําไมนักเรียนเรียน เก่ง พฤติกรรมดี คําตอบก็อยู่ที่ครู มีงานวิจัยที่อเมริกาพบว่า ครูเก่งระดับ 10 เปอร์เซ็นต์ต้น สอนได้ผล ดีกว่าครูระดับ 10 เปอร์เซ็นต์ท้าย ๆ ถึงสามเท่า มีนักวิจัยบางคนถึงกับกล่าวว่า ถ้าให้ครูระดับต้นๆไปสอนนักเรียนผิวดําในถิ่นยากจน ความแตกต่างของผลการเรียนของเด็กในชุมชนเศรษฐกิจดี ถึงชุมชนยากจน จะต้องลดลง

ทีนี้ก็มีปัญหาถกเถียงกันว่า ครูดี ๆ เก่ง ๆ นี้เป็นเองโดยกําเนิด (born teacher) หรือสร้างปั้นขึ้นมาได้ฝ่ายรัฐบาลก็ออกระเบียบมาตรฐานคัดครูดี ครูไม่ดีก็จะต้องให้ออกไปจากอาชีพนี้ ฝ่ายสหภาพครู (Teachers’ Union) ก็ว่าถ้าไม่มีกฏระเบียบหยุมหยิมมาบังคับกะเกณฑ์ครู ปล่อยให้ครูมีอิสระ ครูก็จะทํางานของครูได้ดี

ข้อถกเถียงข้างต้นนี้กําลังจะระงับไป เพราะกลุ่มอาจารย์ผู้ผลิตครูได้ค้นคว้าศาสตร์แห่งการสอน(pedagogy)และจะสามารถสร้างครูธรรมดาๆให้เป็นครูชั้นเยี่ยม เหมือนโค้ชนักกีฬานักกีฬาระดับความสามารถต่าง ๆ ให้เป็นนักกีฬาชั้นยอดเยี่ยม ถ้าครูฝึกหัดครูทําได้ ก็จะเป็นการปฎิรูปโรงเรียนอย่างใหญ่หลวง และเปลี่ยนชีวิตนักเรียนได้มากมาย

ประวัติการศึกษาจะมีปรากฎการณ์ต่างๆขึ้นมาเป็นระยะๆ ซึ่งทําให้เกิดการเปลี่ยนแปลงปฎิรูปการศึกษาโครงการ “สอนเพื่อนอเมริกา” (Teach for America) ซึ่งเป็นแรงบันดาลใจให้ประเทศอื่นด้วย โครงการนี้ดึงบัณฑิตหนุ่มสาวเก่งๆมาสู่วิชาชีพครู แต่เนื่องจากอาชีพครูเป็นอาชีพที่ต้องใช้กําลังคนมาก แต่การฝึกครูที่ยังใช้วิธีเก่าๆ ก็ผลิตครูไม่ยังไม่เป็นครูดีและเก่งออกมา ครูเหล่านี้จะเรียนรู้หลังจากเข้ามาอยู่ในอาชีพสองสามปีขึ้นไป หลังจากนั้น ครูก็จะสอนเรื่อย ๆ เนือย ๆ ไป เพราะโรงเรียนไม่คิดว่าผู้ที่ควรจะต้องเป็นผู้เรียนรับการสอนเพิ่มเติม คือ ครูในโรงเรียน! ครูในยุโรปและประเทศที่รํ่ารวย ส่วนใหญ่จะไม่เคยได้รับการสอนอบรมในอาชีพโดยการสังเกตการสอนของเพื่อนครู หรือ ให้ข้อคิดในการสอนซึ่งกันและกันเลย

สถาบันฝึกหัดครูควรจะต้องมีการปรับปรุงอย่างมาก เมื่อศตวรรษที่แล้ว อาชีพแพทย์ได้มีการยกเครื่องปรับปรุงหลักสูตรและการสอนโดยให้มีการเรียนภาคปฎิบัติ หรือ “ประสบการณ์คลินิก” ให้มากขึ้น

การสอนในสถาบันฝึกหัดครู ควรจะให้นักเรียนครูได้เรียนในสภาพห้องเรียนจริง ๆ ประเทศฟินแลนด์สิงคโปร์ และจีน (เซี่ยงไฮ้) ให้นักเรียนครูและครูใหม่เรียนรู้โดยการเป็นลูกมือหรือผู้ช่วยครูที่มีประสบการณ์โรงเรียนอเมริกันที่เป็นโรงเรียนระดับดีก็จะช่วยครูใหม่ โดยครูเก่าช่วยเป็นโค้ชและให้ข้อมูลย้อนกลับ

สถาบันฝึกหัดครูควรจะต้องปรับปรุงวิชาต่างๆ วิชาใดที่ไม่ช่วยให้นักเรียนครูสอนเป็น ควรจะต้องตัดออกและเพิ่มการสอนที่อาจารย์ฝึกหัดครูได้โค้ชนักเรียนครูให้มากขึ้น

ครูในโรงเรียนก็ควรจะปรับปรุงการสอน โดยการสังเกตการสอนและรับการฝึกจากโค้ช ครูใหญ่ที่ดีก็เป็นคนที่จูงครูใหม่ไปพบกับครูที่มีประสบการณ์ และให้ได้ศึกษาแผนการสอนและปฏิทินการทํางานร่วมกัน

การพัฒนาครูธรรมดา ๆ ให้เป็นครูมืออาชีพจะช่วยให้วิชาชีพครูสูงขึ้น เพราะฉะนั้น การช่วยพัฒนาครูใหม่และครูที่กําลังสอนอยู่จะช่วยให้ครูธรรมดาเป็นครูชั้นเยี่ยม

การฝึกหัดครู (Teaching the Teachers)

เชื่อกันว่าการสอนเก่งนั้นเป็นความสามารถมาแต่กําเนิด แต่นักปฏิรูปการศึกษามั่นใจว่า การสอนเก่งนั้นฝึกได้ สร้างได้

ครู จิมมี คาวานาห์ สอนคณิตศาสตร์ชั้นประถม 5-6 คล่องแคล่วมาก ครูท่าทางใจดี พูดจาชัดเจน นักเรียนเห็นว่า ครูจิมมีเป็นครูชั้นเยี่ยม ครูจิมมีสอนในโรงเรียนถิ่นยากจนที่นิวเจอร์ซี แต่นักเรียนทุกคนที่นี่ตั้งใจเรียนถึงมหาวิทยาลัย

ครูจิมมีเป็นผลผลิตของแนวการฝึกหัดครูแบบใหม่ ซึ่งแทนที่จะสอนทฤษฎีการศึกษาโดยการฟังคําบรรยาย แต่กลุ่มนักเรียนครูกลุ่มนี้จะได้รับการฝึกด้วยการปฎิบัติจริงในชั้นเรียน ตั้งแต่การฝึกระเบียบวินัยนักเรียนในห้องเรียน ตลอดจนการฝึกให้นักเรียนคิด

ครูจิมมีและเพื่อนครูรุ่นใหม่นี้เรียนระดับปริญญาโทที่สถาบัน “รีเลย์” (Relay) ที่ฝึกครูโดยประสมประสานทฤษฎีการฝึกแพทย์ ฝึกโค้ชทางกีฬา ทางธุรกิจ และทฤษฎีการเรียนรู้ใหม่ๆ เจมส์ แวรีล ผู้อํานวยการสถาบันรีเลย์ สาขานิวเจอร์ซี (ขณะนี้มีสถาบันรีเลย์ 7 แห่ง) กล่าวว่า สถาบันรีเลย์ฝึกครูด้วยการปฏิบัติจริงเช่นเดียวกับ แพทย์ฝึกนักศึกษาแพทย์ โค้ชฝึกนักกีฬา เพราะฉะนั้น คํากล่าวที่ว่า “คนรู้...ทํา แต่คนไม่รู้...สอน” (Those who can, do; those who can’t, teach.) จะใช้ไม่ได้อีกแล้ว ครูต้องสอนได้ทําได้จริง

จอห์น แฮตตี้ แห่งมหาวิทยาลัยเมลเบิร์น สรุปจากผลงานวิจัย 6,500 เรื่อง ถึงการสอนที่ให้ผลดีแก่เด็ก 250 ล้านคน เขาสรุปผลว่า เรื่องสําคัญที่สุด คือ ความชํานาญในการสอนของครู มิได้อยู่ที่การทําให้นักเรียนต่อห้องน้อยลง การแยกกลุ่มความสามารถ และอื่นๆ

อีริค ฮานเชค อาจารย์วิชาเศรษฐศาสตร์แห่งมหาวิทยาลัยแสตนฟอร์ด ระบุว่าวิชาการที่ใช้ระยะการสอน 1 ปี ครูเก่ง ๆที่อยู่ในระดับ 10 เปอร์เซ็นต์ต้นจะสามารถสอนเด็กได้ถึงหนึ่งปีครึ่ง (1.5 ปี) แต่ครูที่อยู่ในระดับล่างจะสอนได้เพียงครึ่งปี (0.5ปี)

การที่ความสามารถของครูแตกต่างกันนี้ นักเรียนที่มาจากครอบครัวฐานะดีก็สามารถทดแทนให้ลูกได้เช่น ให้เด็กได้เรียนพิเศษนอกเวลา จัดหาติวเตอร์พิเศษ แต่สําหรับเด็กจากครอบครัวยากจน ผลกระทบจะชัดเจน เพราะฉะนั้น โธมัส เคน แห่งมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดถึงกล่าวว่า ถ้าให้ครูเก่งระดับ 25 เปอร์เซ็นต์ต้นๆสอนเด็กๆในถิ่นยากจน ผลการเรียนของเด็กจะไม่แตกต่างจากผลการเรียนของเด็กในถิ่นฐานเศรษฐกิจดี

เพราะฉะนั้นจึงสรุปว่า การปฏิรูปการศึกษา คุณภาพการสอนของครูเป็นเรื่อสําคัญที่สุดทีนี้ก็เกิดปัญหาเดิมว่า ครูดีนั้นเป็นมาแต่กําเนิด หรือสร้างได้ ปรากฏว่า 70 เปอร์เซ็นต์ของชาวอเมริกันเชื่อว่า ครูเก่งๆนั้นเป็นความสามารถพิเศษมาแต่กําเนิด มิใช่จากการฝึกฝน มารี ฮาเมอร์ หัวหน้ากลุ่มโรงเรียนอาร์ค (Ark) ที่อังกฤษ ซึ่งเริ่มการฝึกหัดครูแนวใหม่ กล่าวว่า “ครูมักจะได้รับการบอกให้ปรับปรุง แต่ไม่ให้แนวทางวิธีการที่จะปรับปรุง” สถาบันArk ก็เริ่มดําเนินการฝึกหัดครูแบบสถาบันรีเลย์ (Relay)

เดวิด สไตเนอร์ แห่งมหาวิทยาลัยจอห์น ฮอปกินส์ กล่าวว่า ในอเมริกา เกณฑ์มาตรฐานในการที่จะได้รับใบอนุญาตการสอนของครูยังตํ่ากว่าของนักกีฬา แต่ที่ประเทศฟินแลนด์ การสมัครเข้าเรียนในสถาบันฝึกหัดครูต้องผ่านการแข่งขันอย่างสูงเทียบเท่ากับการสมัครเข้าเรียนที่ MIT หรือ ฮาร์วาร์ด ทีเดียว

เดวิด เรโนลด์ ศึกษาเปรียบเทียบการสอนคณิตศาสตร์ที่นานกิง ประเทศจีน และที่เซอท์แธมตัน ประเทศ อังกฤษ พบว่า ในการสอนแต่ละคาบ ที่นานกิงะใช้เวลาถึง 72% เป็นปฎิกริยาโต้ตอบระหว่างครูกับนักเรียน ขณะที่อังกฤษใช้เพียง 24% เจมส์ สติลเลอร์ แห่งมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนียรายงานว่า ครูอเมริกันมักจะใช้คําถาม “อะไร” (What) ในขณะที่ครูญี่ปุ่นจะถาม “Why” และ “How” เพื่อตรวจสอบความเข้าใจของนักเรียนในวิชาคณิตศาสตร์

การฝึกหัดครูทั้งที่อังกฤษและอเมริกาเน้นหนักทางทฤษฎี มีภาคปฏิบัติน้อย นักศึกษาระดับปริญญาโทปีที่หนึ่งที่สถาบันสโปซาโต (Sposato Graduate School of Education) ซึ่งเป็นสถาบันฝึกหัดครูแนวใหม่ที่เมืองบอสตัน สถาบันฝึกหัดครูแห่งนี้ได้รวบรวมเทคนิควิธีการสอนในชั้นเรียน มาฝึกให้แก่นักศึกษาครูก่อนออกฝึกสอน เปรียบดังนักศึกษาที่จะเป็นแพทย์ผ่าตัด (ศัลยแพทย์) จะต้องฝึกกับศพ ก่อนที่จะฝึกกับคนที่มีชีวิต สถาบันฝึกหัดครูแห่งนี้ได้สํารวจหาครูที่สอนดีมากๆ แล้วถ่ายวีดิโอการสอนของครูในชั้นเรียนเพื่อวิเคราะห์เทคนิคของครู ซึ่งมี 62 เทคนิค ตั้งแต่การใช้ “เสียง” และเทคนิคการพูดให้เด็กต้องตั้งใจฟังการถามเด็กโดยสุ่มเรียก การฝึกให้เด็กหันไปพูดคุยกับเพื่อนข้างๆ

นักศึกษาครูที่ Sposato จะฝึกสอนและเรียนภาคปฏิบัติที่โรงเรียน Match (โรงเรียนสาธิตของสถาบัน) นักศึกษาจะเรียนภาคปฏิบัติสัปดาห์ละ 20 ชั่วโมง ช่วยติวนักเรียนและทํางานเป็นผู้ช่วยครูสัปดาห์ละ 40-50 ชั่วโมง อาจารย์กัทเลอเนอร์แห่งสถาบันฝึกหัดครูใหม่นี้ กล่าวว่า ผลสําเร็จของนักศึกษาครูที่นี่จะดูได้จากผลการประเมินการเรียนภาคปฏิบัตินี้

การสอนในโรงเรียนระดับดีในทวีปเอเชีย (ญี่ปุ่น สิงคโปร์ เกาหลี) จะใช้วิธีสอนอบรมครูแบบให้ครูเก่าช่วยครูใหม่ ซึ่งในประเทศตะวันตกกลุ่ม OECD จะไม่ค่อยมีระบบครูช่วยครู เพราะการสอนของครูจะเป็นแบบ “ปิดประตูสอน” สหภาพครูเองก็ไม่สนับสนุนให้ผู้อื่นมาสังเกตและบันทึกการสอนของครู ปาสิ ซาลเบิร์ก นักการศึกษาชาวฟินแลนด์บอกว่า “ความสําเร็จทางการศึกษาของประเทศฟินแลนด์ เกิดขึ้นจากการที่ครูฟินแลนด์ทํางานร่วมกัน ช่วยเหลือกัน”

วิชาชีพครู นอกจากจะต่างคนต่างอยู่แล้ว ยังไม่ค่อยมีแนวคิดที่จะปรับปรุงวิชาชีพ กัทเลอเนอร์แห่งสถาบัน Sposato ฝึกหัดครูแนวใหม่ยังกล่าวว่า ครูใหม่และครูที่สอน 20 ปี จะบอกว่า ไม่มีปัญหาที่จะต้องเรียนรู้เรื่องใหม่ๆ และโปรแกรมอบรมครูก็ไม่ได้ผลนัก เมื่อปี 2011 ที่อังกฤษพบว่า วิชาการศึกษาที่เรียนกันนั้น ได้นําไปใช้ในการสอนดีๆเพียง 1 เปอร์เซ็นต์ ที่อเมริกาก็เช่นกัน โครงการครูใหม่ (The New Teacher Project) ใช้เงินเป็นจํานวนมาก อบรมครูใหม่แต่ครูก็ไม่ดีขึ้นมากนัก ครูสามในห้าคนของกลุ่มครูที่อยู่ในระดับตํ่าคิดว่า ตนเองสอนดีมาก ครูในประเทศตะวันตก กลุ่ม OECD รวมทั้งประเทศอังกฤษด้วยเก้าในสิบคนมั่นใจในความรู้และวิธีการสอนของตน ทั้งๆที่การสํารวจเมื่อเร็วๆนี้ นักเรียนก็ยังตอบว่า ครูสอนให้จํา

จากการศึกษาสํารวจครั้งใหญ่ที่เพิ่งตีพิมพ์ออกมาเมื่อ มีนาคม 2016 นี้ โรลัง ฟรายเออร์ แห่ง มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด สรุปว่า การอบรมช่วยเหลือครูประจําการโดยใช้วิธีที่มีครูพี่เลี้ยง (Mentor) ที่ช่วยแนะนํา ให้ข้อมูลย้อนกลับ เป็นวิธีการที่ได้ผลโรงเรียนแนวใหม่ เช่น Match และ North Star ก็จะมีสิ่งแวดล้อมในโรงเรียนแบบเดียวกับโรงเรียนที่เซี่ยงไฮ้และสิงคโปร์ที่มีครูพี่เลี้ยง ช่วยเหลือแนะนําครูประจําการ ที่เซี่ยงไฮ้นั้น ถึงกับมีผลว่า ถ้าครูประจําการหรือนักศึกษาฝึกสอนสอนไม่ดีขึ้น ครูพี่เลี้ยง (Mentor) จะไม่ได้รับการเลื่อนขั้นเงินเดือน (แต่ครูที่เซี่ยงไฮ้ สอนเพียงสัปดาห์ละ 10-12 ชั่วโมง ขณะที่ครูอเมริกัน สอนสัปดาห์ละ 27 ชั่วโมง)

หลายประเทศมีวิธีปฎิบัติที่เป็นปัญหา คือ การเลื่อนวิทยฐานะ ครูที่สอนดีๆก็จะได้เลื่อนขึ้นเป็นผู้บริหารซึ่งผู้บริหารจะได้รับเงินค่าตอบแทนสูงกว่าครู ทั้งๆที่ผู้บริหารมิได้ช่วยทําให้เด็กนักเรียนเก่งขึ้น ดีขึ้น ที่สิงคโปร์จะแยกสายบริหารและสายการสอน เพื่อให้ครูดีๆได้สอนตลอดไป ประเทศออสเตรเลียก็กําลังจะทําเช่นนี้

สําหรับการฝึกหัดครูแนวใหม่แบบสถาบัน Relay และ Sposato ในอเมริกา และ Ark ในอังกฤษ ปรากฎว่าบัณฑิตจากสถาบันฝึกหัดครูแนวใหม่นี้ สามารถสอนนักเรียนได้ผลดีขึ้น ในปีการศึกษาหน้า (2017) สถาบัน Relay จะตั้งเพิ่มอีก 12 แห่ง ฝึกครู 2,000 คน และผู้บริหาร (ครูใหญ่) 400 คน คณะปฎิรูปทางการศึกษา (อเมริกา) เห็นว่า ระบบการศึกษาที่ดีและได้ผลจะต้องส่งผลตรงถึงตัวนักเรียน และผู้ที่จะทําให้เกิดการเปลี่ยนแปลงที่ดีในตัวนักเรียน คือ ครู การสอน การคิด พฤติกรรมของครูในการสอนในห้องเรียนจึงเป็นเรื่องสําคัญ การปฎิรูปการศึกษา คือ การปฎิรูปการสอนของครูในห้องเรียน มิใช่การปรับระบบโครงสร้างการศึกษา

วิกฤต... "บัณฑิตแห่ตกงาน" อีกหนึ่งความล้มเหลว... อุดมศึกษาไทย

           ทําเอาใจหายใจคว่ำไปตามๆ กัน หลังบริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จัดโครงการ "จากกันด้วยใจ" ปลดพนักงานรับเหมาช่วงกว่า 1,000 คน โดยให้เหตุผลว่าเศรษฐกิจในประเทศที่ยังคงชะลอตัว... ทิ้งช่วงไม่กี่วัน นายธนวรรธน์ พลวิชัย ผู้อำนวยการศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย ออกมาเปิดเผย ผลสำรวจดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคเดือนมิถุนายน 2559 อยู่ที่ระดับ 71.6 ปรับตัวลดลงจากเดือนก่อนหน้า ซึ่งอยู่ที่ระดับ 72.6 เป็นการปรับตัวลดลงอย่างต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 6 และต่ำสุดในรอบ 25 เดือน นับตั้งแต่เดือนมิถุนายน 2557 แสดงให้เห็นว่าภาวะเศรษฐกิจการจ้างงานยังไม่ฟื้นตัวนัก หากพิจารณาตัวเลข อัตราการว่างงานของสำนักงานสถิติแห่งชาติ ยังพบด้วยว่ามีตัวเลขที่สูงขึ้นต่อเนื่องมา 5 ปี โดยปี 2554 อยู่ที่ 0.679% ปี 2555 อยู่ที่ 0.657% ปี 2556 อยู่ที่ 0.72% ปี 2557 อยู่ที่ 0.836% ปี 2558 อยู่ที่ 0.883% และในปี 2559 ณ เดือนพฤษภาคม อัตราการว่างงานเพิ่มขึ้นอยู่ที่ 1.2% ขณะที่ปี 2552 อัตราการว่างงานอยู่ระดับ 1.489% และปี 2553 อยู่ที่ 0.041% ทั้งนี้ ยังพบว่ายอดการว่างงานที่เพิ่มสูงขึ้นนั้นเกิดมาจากการไม่มีการจ้างงานเพิ่ม ทำให้คนว่างงานและส่วนใหญ่เป็นบัณฑิตจบใหม่!!! อย่างไรก็ตาม เรื่องนี้ทำให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการผลิตบัณฑิต คือ สำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา (สกอ.) และมหาวิทยาลัยทั่วประเทศ ถูกตั้งคำถามถึง คุณภาพในการผลิตบัณฑิตออกสู่ตลาดแรงงาน ว่ามีมาตรฐานมากน้อยแค่ไหน และที่สำคัญตอบโจทย์ความต้องการของประเทศหรือไม่??? นายสรนิต ศิลธรรม รองเลขาธิการคณะกรรมการการอุดมศึกษา (กกอ.) ออกมายอมรับว่า สถานการณ์บัณฑิตตกงานมีมาอย่างต่อเนื่อง ปัจจุบันอัตราการว่างงานอยู่ที่ 27% ของจำนวนบัณฑิตที่จบใหม่ในแต่ละปี สะท้อนให้เห็นว่าบัณฑิต 4 คน จะตกงาน 1 คน ซึ่ง สกอ. เองพยายามแก้ไข โดยมีนโยบายให้มหาวิทยาลัยต่างๆ ปรับตัว เตรียมบัณฑิตให้พร้อมเข้าสู่ตลาดแรงงาน เน้นเปิดสอนในคณะ/สาขาวิชาที่มหาวิทยาลัยมีความเชี่ยวชาญ ยกเลิกหลักสูตรที่ไม่มีผู้เรียน หรือลดการรับนักศึกษาในหลักสูตรที่ไม่ใช่ความต้องการของประเทศ เป็นต้น นอกจากนี้ สกอ. ยังส่งเสริมให้มหาวิทยาลัยจัดการเรียนการสอนร่วมกับสถานประกอบการ เพื่อให้นักศึกษาได้ฝึกปฏิบัติงานจริงแล้ว และยังมีโอกาสที่สถานประกอบการจะรับบัณฑิตเหล่านั้นเข้าทำงานทันทีเมื่อจบการศึกษา อีกทั้ง หากจะเปิดหลักสูตรใหม่ ขอให้คำนึงถึงความต้องการของประเทศในแต่ละช่วงเป็นหลักด้วย ทั้งนี้นโยบายของ สกอ. เป็นเพียงการขอความร่วมมือกับมหาวิทยาลัยต่างๆ เท่านั้น ไม่สามารถบังคับให้มหาวิทยาลัยดำเนินการได้ แต่เชื่อว่ามหาวิทยาลัยเองพยายามปรับตัว เพื่อพร้อมรับกับปัญหานี้เช่นกัน ด้าน นพ.อุดม คชินทร อธิการบดีมหาวิทยาลัยมหิดล (มม.) และประธานที่ประชุมอธิการบดีแห่งประเทศไทย (ทปอ.) ยอมรับว่าตัวเลขบัณฑิตตกงานมีจำนวนเพิ่มขึ้นบ้าง แต่ไม่มากนัก สิ่งที่ ทปอ. พยายามส่งเสริมคือให้มหาวิทยาลัยสร้างบัณฑิตที่มีคุณภาพ เก่ง และดีพอที่จะถูกจ้างงานได้ทันที ซึ่งมหาวิทยาลัยแต่ละแห่งจะต้องปรับตัว จัดการเรียนการสอนที่ไม่เน้นการเล็กเชอร์ในห้องเรียน แต่เน้นเพิ่มสมรรถนะในการทำงานให้มากขึ้น อีกทั้งยังส่งเสริมให้มหาวิทยาลัยดำเนินการตามนโยบาย สกอ. โดยมหาวิทยาลัยแต่ละแห่งจะต้องหาจุดเด่นของตัวเองและเปิดสอนในสาขาที่เชี่ยวชาญ รวมถึงดูความต้องการของประเทศในอนาคตด้วยว่าต้องการกำลังคนในสาขาใด ขณะที่ นายสุชัชวีร์ สุวรรณสวัสดิ์ อธิการบดีสถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง (สจล.) แจกแจงผลสำรวจตัวเลขบัณฑิตตกงาน อย่างลงลึกว่า ตัวเลขบัณฑิตจบใหม่ของมหาวิทยาลัยทั่วประเทศ อยู่ที่ประมาณ 360,000 คนต่อปี ทั้งนี้ ไม่อยากให้สังคมตระหนกกับตัวเลขบัณฑิตตกงานที่ออกมามากนัก เนื่องจากในแต่ละปีมหาวิทยาลัยจะประเมินคุณภาพบัณฑิต โดยติดตามอัตราการมีงานทำของบัณฑิตที่จบออกไป ซึ่งพบว่าบัณฑิตส่วนใหญ่หางานทำได้ตามปกติ แต่มีจำนวนไม่น้อยที่เรียนต่อระดับปริญญาโท ทั้งในประเทศและต่างประเทศ ขณะที่อีกจำนวนหนึ่งทำงานไม่ตรงกับสาขาที่เรียน หรือทำธุรกิจครอบครัว หรือธุรกิจส่วนตัว ดังนั้นตัวเลขอัตราการมีงานทำที่หน่วยงานต่างๆ สำรวจมาอาจไม่สะท้อนสภาพความเป็นจริงมากนัก "แต่โดยภาพรวมก็ยอมรับว่ามีบัณฑิตส่วนหนึ่งตกงานจริง ส่วนใหญ่จะเป็นบัณฑิตที่เรียนในสายสังคมศาสตร์ ซึ่งไม่ตรงกับความต้องการของประเทศ ที่ต้องการผู้ที่เรียนในสายวิทยาศาสตร์จำนวนมาก แต่กลับมีผู้เลือกเรียนน้อย ที่ผ่านมามหาวิทยาลัยพยายามปรับตัว ลดจำนวนรับเด็กในสายสังคมลง และเพิ่มจำนวนรับในสายวิทยาศาสตร์ให้มากขึ้น แต่ยังไม่เพียงพอ เพราะค่านิยมของนักเรียนในปัจจุบัน นิยมเข้าเรียนในสายสังคมมากกว่า เห็นได้จากการคัดเลือกบุคคลเข้าศึกษาต่อในสถาบันอุดมศึกษาด้วยระบบกลางการรับนิสิตนักศึกษา หรือแอดมิสชั่นส์ ผู้ที่ได้คะแนนแอดมิสชั่นส์อันดับ 1 ของประเทศ เลือกเข้าเรียนในคณะนิเทศศาสตร์ ดังนั้น อยากให้สังคมช่วยสร้างค่านิยมใหม่ให้เด็กกลับมาสนใจเรียนสายวิทยาศาสตร์มากขึ้น เพราะประเทศยังต้องการบุคลากรในสาขาที่เกี่ยวข้องกับวิทยาศาสตร์อีกจำนวนมาก" นายสุชัชวีร์กล่าว สอดคล้องกับข้อมูลของ นายอารักษ์ พรหมณี อธิบดีกรมการจัดหางาน (กกจ.) กระทรวงแรงงาน ที่ระบุว่า สถานการณ์การจ้างงานในขณะนี้ยังเป็นปกติ และยังไม่มีนัยยะสำคัญบ่งบอกถึงการว่างงานในระดับที่สูง ตัวเลขที่ออกมาก็ไม่ใช่ตัวเลขการว่างงานในภาคอุตสาหกรรม เพราะขณะนี้ในหลายอุตสาหกรรมก็ยังขาดแคลนแรงงานในระดับการผลิตจำนวนมาก แต่มีความไม่สอดคล้องระหว่างความต้องการและแรงงานที่มีอยู่ ซึ่งพบว่ามีผู้จบระดับปริญญาตรีจำนวนมาก ส่วนใหญ่เป็นสาขาทางสังคมศาสตร์ ทั้งที่ตลาดแรงงานมีความต้องการผู้จบปริญญาตรีในสาขาทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีสูงกว่า อีกทั้งตลาดแรงงานยังมีความต้องการแรงงานในระดับอาชีวะ ระดับไร้ฝีมือและกึ่งฝีมือจำนวนมาก เนื่องจากประเทศไทยมีภาคการผลิตต้องการแรงงานเข้มข้น ดังนั้น จึงต้องมองว่าจะทำอย่างไรให้เยาวชนหันมาเลือกเรียนต่อในสาขาจบออกมาตรงกับความต้องการของตลาดแรงงาน จูงใจให้หันมาเรียนอาชีวะมากกว่ามุ่งศึกษาในระดับปริญญาตรี หากดูตามนี้ สาเหตุที่ทำให้บัณฑิตตกงาน แท้จริงคงไม่ใช่ไม่มีงานให้ทำ แต่เป็นเพราะสถาบันอุดมศึกษาผลิตคนออกมาได้ไม่ตรงกับความต้องการของภาคอุตสาหกรรม และไม่ตรงกับความต้องการของประเทศ ซึ่งถือเป็นโจทย์ใหญ่ที่ต้องเร่งแก้ไข โดยเฉพาะมหาวิทยาลัยต่างๆ ที่ต้องปรับตัว ลดจำนวนการผลิตในสาขาที่ล้นตลาด แล้วหันมาส่งเสริมให้เด็กเข้าเรียนในสาขาตอบโจทย์ประเทศในอนาคตมากขึ้น !!!

อ่านเพิ่มเติมได้ที่ : http://www.kroobannok.com/article-79464-วิกฤต...-บัณฑิตแห่ตกงาน-อีกหนึ่งความล้มเหลว...-อุดมศึกษาไทย.html

วันศุกร์ที่ 5 สิงหาคม พ.ศ. 2559

20 คุณลักษณะของครูที่เด็กต้องการ
สมเชาว์ เกษประทุม 
กรรมการบริหารสำนักงานปฏิรูปการศึกษา (สปศ.)
หนังสือพิมพ์มติชน ประจำวันที่ 8 กรกฎาคม พ.ศ. 2545
1. มีในกว้าง เปิดโอกาสให้นักเรียนซักถาม และรับฟังความคิดเห็น
2. มีความประพฤติดีทั้งในและนอกห้องเรียน
3. มีความยุติธรรมไม่ให้คะแนนลำเอียง
4. ไม่ยุ่งเกี่ยวกับเรื่องส่วนตัวของเด็กมากเกินไป
5. ไม่แต่งตัวฉูดฉาด ฟุ่มเฟือยใส่เสื้อผ้าสั้นจู๋ หรือใส่น้ำหอมมากเกินไป
6. มีการเตรียมการสอนล่วงหน้า และ มีอุปกรณ์การสอน
7. ไม่ปกปิดความรู้แก่ศิษย์
8. ไม่สูบบุหรี่ ไม่ดื่มสุรา
9. เข้าห้องสอนตรงเวลา และรักษาเวลาสอน
10. มีอารมณ์ขัน สนุกร่าเริง
11. ไม่บังคับจิตใจนักเรียน
12. ไม่ด่านักเรียนไปถึงพ่อแม่วงศ์ตระกูล
13. มีความเป็นผู้นำ คุ้มครองเด็กได้
14. ไม่ผูกพยาบาทนักเรียน
15. ให้นักเรียนได้พูดคุยบ้าง ไม่บังคับให้เด็กนั่งนิ่งตลอดชั่วโมง
16. ไม่ดูถูกเหยียดหยาม นักเรียนที่ยากจนแบะเรียนไม่เก่ง
17. ไม่พูดจาหยอกล้อเด็กมากเกินไปจนเด็กเหลิง
18. ให้คำตอบแก่นักเรียนทุกครั้งที่ถาม แม้ตอบไม่ได้ก็ไปค้นคว้ามาให้
19. ขยัน สอนดี ความรู้ดี ไม่หัวเก่า
20. ให้คำแนะนำแก่เด็ก เด็กปรึกษาเรื่องส่วนตัวได้